Search

เมื่อวานได้เข้าประชุมเล็กๆ ในวงคนทำงานเพื่อสังคม (...

  • Share this:

เมื่อวานได้เข้าประชุมเล็กๆ ในวงคนทำงานเพื่อสังคม (ขอคารวะทุกท่านเลยครับ) ทำให้มองเห็นภาพที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเรากว้างและละเอียดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับสถานการณ์โควิดที่มีคนติดคนตายคือปัญหาการเยียวยาสภาพจิตใจของผู้คนที่อาจมีจำนวนเป็นทวีคูณของผู้ติดเชื้อ

จิตใจที่เปราะบางเกิดจากอะไรบ้าง?

1. คนกังวลและเครียดกับความเสี่ยงติดโรค
2. เมื่อติดโรคแล้ว การจัดการก็ลำบาก
3. ตัวผู้ติดโรคเองก็เป็นกังวล
4. คนรอบข้างผู้ติดเชื้อก็เป็นกังวล
5. เมื่อเกิดการสูญเสีย จิตใจก็ย่ำแย่
6. การจากไปอย่างโดดเดี่ยวทำให้เศร้ายิ่งขึ้นอีก
7. หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครก็เครียดและกังวล

แน่นอนว่ายังมีรายละเอียดอีกมาก ทั้งหมด 7 หัวข้อเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นซับซ้อน เช่น ในครอบครัวหนึ่งมีคนติดเชื้อทั้งบ้าน ต้องแยกโรงพยาบาลกัน พ่อเสียชีวิต แม่หาย แต่ลูกไม่รู้จะบอกกับแม่ยังไงเรื่องพ่อ กลัวแม่ใจสลายทรุดลงไปอีก ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

ในวิกฤตจึงมีวิกฤตซ้อนอยู่อีก คนรอบข้างของผู้ที่ได้รับผลกระทบย่อมเซซวนตามไปด้วย นี่นับเฉพาะทางสุขภาพกาย แต่วิกฤตนี้ยังมีเรื่องรายได้ การงาน การเงินอีกด้วย ซึ่งส่งผลต่อจิตใจแน่นอน และกระทบชิ่งไปถึงคนใกล้ตัวแน่ๆ

เป็นปัญหาที่คงต้องช่วยกันคิด ช่วยกันสื่อสารและให้ข้อมูลเพื่อประคับประคองจิตใจกันเอาไว้ในสถานการณ์ไม่ปกติที่รับมือได้ยาก แถมยังยาวนานและไม่รู้ว่าจะนานไปถึงเมื่อไหร่

...

ช่วงนี้มีโอกาสที่เราจะเครียดกันโดยไม่รู้ตัว อาจทะเลาะกับคนใกล้ตัวถี่ หงุดหงิดใส่กัน เป็นเพราะข่าวสาร สถานการณ์ และสภาพสังคมที่เป็นอยู่ชวนให้เครียดจริงๆ นั่นแหละ (ฉะนั้น การวิจารณ์หรือตรวจสอบการทำงานของผู้มีอำนาจรับผิดชอบจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ)

การรู้ตัวว่าตัวเองมีสภาพจิตใจที่เปราะบางกว่าในยามปกติ จุดเดือดต่ำลง กังวลมากขึ้น กดดัน หรือเครียดกว่าแต่ก่อน อย่างน้อยก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ลดการบริโภคข่าวสาร ออกกำลังกายลดความเครียด นอนให้เพียงพอ ยังไม่โต้ตอบทั้งต่อหน้าและในแชทตอนหงุดหงุดหรือกำลังเดือด ฯลฯ ที่เชื่อว่าทุกคนมีวิธีดีๆ ของตัวเอง แต่จะเกิดขึ้นได้เมื่อรู้ทันตัวเองว่าช่วงเวลานี้ 'ไม่ปกติ'

เพราะความเดือดของเราอาจกระทบความสัมพันธ์ กลายเป็น 'เรื่องเครียด' อีกเรื่องเติมเข้าไปในชีวิตที่ยากอยู่แล้ว ทั้งยังไปสร้าง 'เรื่องเครียด' ให้คนที่เราไปเดือดใส่เพิ่มไปอีกหนึ่งเรื่อง การกระทบชิ่งกันแบบนี้เกิดขึ้นทุกวัน และขยายวงต่อไปเรื่อยๆ

แน่นอนว่าถ้ามีโอกาสดีกว่านั้น การได้มีเวลาปรับทุกข์ซึ่งกันและกันน่าจะช่วยลดทอนความเครียดในใจซึ่งกันและกันได้ แทนที่จะเปลี่ยนความกังวลกดดันเป็นความโกรธ ใช้เวลามาระบายความอึดอัดในใจสู่กันฟัง ผลัดกันฟังความทุกข์ของอีกฝ่าย คลายความหนักอึ้งในใจลง ช่วยกระชับความสัมพันธ์ให้รู้สึกว่าเรายังอยู่ข้างๆ กันในยามยาก

...

การเท่าทันอารมณ์ตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย บอกว่าอย่าโกรธนั้นง่ายกว่าควบคุมอารมณ์โกรธเมื่อมันเกิดขึ้นจริง แน่นอนว่าไม่ง่าย ถ้าโกรธขึ้นมาก็ไม่จำเป็นต้องกดมันไว้ เพียงทำอย่างไรให้มันสร้างความย่ำแย่ให้น้อยที่สุด ทั้งกับตัวเองและคนอื่น มิฉะนั้นมันจะเพิ่มความรู้สึกแย่ให้ตัวเองมากขึ้นไปอีก

เป็นไปได้ไหมที่เราจะฉากหนีออกมาก่อน ออกจากห้องแชทนั้น วางโทรศัพท์ลง พออารมณ์ลดอุณหภูมิลงก็ค่อยอธิบายหรือพูดจาด้วยความระอุที่น้อยกว่าเดิม

ในสภาวะที่ทุกคนเคร่งเครียดและบอบช้ำ การดูแลจิตใจตัวเองก็เหมือนได้ดูแลจิตใจคนอื่นไปด้วย เมื่อคนหนึ่งเย็นลง คนที่ร้อนก็ไม่ร้อนมากขึ้น เมื่อคนหนึ่งรับฟัง คนที่อารมณ์ขึ้นก็ได้ระบายความอัดอั้น เมื่อไม่เพิ่มความขัดแย้งในบ้านในองค์กรก็รักษาสัมพันธ์ไว้ได้ เป็นฐานของการช่วยกันแก้ปัญหา

ในตอนนี้ถ้ามองไปรอบตัว หากตระหนักว่าทุกคนล้วนมี 'โจทย์ยาก' ของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งเรื่องสุขภาพและเศรษฐกิจ เราอาจมองผู้คนด้วยความเห็นใจมากขึ้น ยิ่งเป็นคนใกล้ตัวก็ยิ่งจำเป็นต้องทะนุถนอมดูแลกันมากกว่าในห้วงยามปกติ ซึ่งทั้งหมดนั้นอาจเริ่มจากการดูแลจิตใจตัวเองไม่ให้พังหรือร้อนระอุจนเผาไหม้เจ็บป่วยไปเสียก่อน ใครที่พอไหวก็ช่วยประคับประคองคนใกล้ตัวกันไว้ เวลาผ่านไปเราอาจสลับบทบาทกัน

โจทย์การดูแลจิตใจสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ในวิกฤตที่ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ

ช่วยกันดูแลกันและกัน--น่าจะเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

ขอส่งกำลังใจให้ทุกคนนะครับ


Tags:

About author
not provided
นิ้วกลม / ติดต่อซื้อหนังสือที่คุณแบม 098-392-8551 / ติดต่องานที่คุณหนึ่ง 087-712-5874 ขอบคุณครับ :)
View all posts